ภาพจากเครื่องปัจจุบัน อายุเกือบสองปี
ภาพจากเครื่องก่อนหน้านี้ อายุประมาณหนึ่งปีตอนที่จับภาพนี้ครับ
ก่อนเริ่ม
นี่เป็นการใช้งานทั่วไปของผมครับ- ผมใช้เครื่องวันละ 4-8 ชม. ต่อวัน ติดต่อกันทุกวัน ตั้งแต่ซื้อเครื่องมาวันแรก จนถึงปัจจุบัน
- ผมใช้เครื่องทำงานเต็มที่ครับ คือใช้ application เฉพาะทางที่กิน CPU 100% อยู่บ่อย ๆ
- ใช้งาน Internet เกือบทุกครั้งที่เปิดเครื่อง
- ใช้งาน wifi ตลอดเวลาในช่วงสองเดือนหลังมานี้ (ก่อนหน้านี้ไม่ได้ใช้ครับ)
- และพิมพ์งานเอกสารทั่วไป หรืออื่น ๆ ตามสมควร
- ผมใช้งาน USB ครบทุกช่อง + firewire ด้วยครับ (ต่อ ext.hdd)
ลืมเรื่อง cycle count ไปก่อนครับ เดี๋ยวผมลองจะอธิบายว่าทำไม
note:
- คำแนะนำนี้เป็นความเห็นส่วนบุคคลของผมแต่เพียงผู้เดียว ที่ใช้งานเครื่อง Notebook มาตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ และให้ผลที่ค่อนข้างดีกับเครื่องของผมครับ
- ไม่รับประกันความถูกต้องใดใด ทั้งหมดนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ควรใช้จิตวิญญาณในการอ่านนะครับ
- update: เพิ่มข้อเกี่ยวกับการต่อใช้งาน USB +Firewire ภายในเครื่อง (น้องต่ายถามมาในกระทู้ก่อนหน้านี้ครับ)
เริ่ม
หลักการและเหตุผลโดยส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่า ตัวแบตเตอรี่ไม่ว่ายี่ห้อใดใดก็ตามที่มีอยู่ในโลก ณ ยุคปัจจุบันนี้ ถูกออกแบบมาให้ทำงานแบบนี้ครับ
ชาร์จจนเต็ม แล้วใช้ไฟที่มีอยู่ในแบตฯ (จะให้หมด หรือใช้ไม่หมดก็ได้) แล้วค่อยชาร์จใหม่ผมเลยคิดว่า ถ้าเราใช้แบตฯ ในลักษณะที่เขาถูกออกแบบมาให้ใช้แล้ว เราน่าจะใช้งานเขาได้เต็มประสิทธิภาพมากที่สุด
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการชาร์จแบตเตอรี่
มีหลาย ๆ ประเด็นรวมกันครับ1.เราควรเสียบปลั๊กไฟบ้านอยู่ตลอดเวลา ใช้แบตฯ เฉพาะตอนที่เอาเครื่องออกไปใช้นอกสถานที่เท่านั้น?นี่เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนครับ คือส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า เมื่อเสียบปลั๊กชาร์จแบตฯ จนเต็มแล้ว ไฟจะไม่ไหลผ่านเข้าตัวแบตฯ อีก ทำให้มีสถานะเหมือนไม่ได้ใช้ และชาร์จเต็มอยู่ตลอดเวลา
ความเข้าใจตรงนี้ถูก แต่ไม่ทั้งหมดครับ
ที่ถูกคือ เมื่อแบตฯ ถูกชาร์จไฟจนเต็มแล้ว ไฟจะไม่ไหลผ่านเข้าตัวแบตฯ อีก ..... แล้วความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน คือแบบนี้ครับ
ตัวแบตฯ จะมีการคายประจุออกมาเองเรื่อย ๆ เมื่อระยะเวลาผ่านไปครับ ทีละน้อย ๆ แต่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทีนี้ เมื่อตัวแบตฯ คายประจุออกมาจนถึงจุด ๆ นึงที่เครื่องรับรู้ว่าไฟไม่เต็มแล้ว เช่น แบตฯ คายประจุจนเหลือไฟที่ 98% .. ตัวเครื่องจะตัดไฟให้ไหลเข้าแบตฯ เพื่อชาร์จต่อจนเต็ม 100% ใหม่ครับ
สรุปคือ แม้ว่าเราจะเสียบปลั๊กไฟค้างเอาไว้แล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไป จะมีการชาร์จไฟให้แบตฯ อยู่เรื่อย ๆ และครั้งละน้อย ๆ ครับ
2.อ้าว แล้วแบบนี้ไม่ดีเหรอ? ชาร์จที่ 1-2% ไปเรื่อย ๆ แบบนี้ cycle count จะได้ไม่ค่อยขึ้น?Cycle Count มีเอาไว้สำหรับวัดอายุแบตฯ ได้คร่าว ๆ .. เน้นว่าคร่าว ๆ ครับ จะนับค่อนข้างได้ผลเมื่อแบตฯ ถูกใช้งานมาอย่า่งถูกต้อง ซึ่งไม่ได้มาจากการใช้งานในข้อที่ 1. ครับ
ถ้าเราเสียบปลั๊กค้างเอาไว้ข้ามวันข้ามคืนอยู่บ่อย ๆ ตัวแบตฯ ถูกชาร์จครั้งละน้อย ๆ อยู่เรื่อย ๆ เป็นผลใหั Cycle count ไม่ค่อยขึ้นจริง แต่ที่ตามมาคือ แบตฯ ที่ถูกใช้งานแบบนี้ จะตายเร็วกว่าที่ควรจะเป็นครับ หรือเก็บไฟได้น้อยกว่าแบตฯ ที่ถูกชาร์จสลับใช้อย่างถูกต้อง ที่อายุเท่า ๆ กัน
note: มีบางกรณีสำหรับผู้ที่ชาร์จแบบนี้แล้วแบตฯ ยังดีอยู่ได้ครับ แต่เท่าที่ผมเคยเจอ มักจะให้ผลไปในทางตรงกันข้าม
เหตุผล(ที่น่าจะเป็น)เป็นแบบนี้ครับ
การชาร์จครั้งละน้อย ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลานาน ๆ จะมีผลให้เซลส่วนที่ไม่มีไฟไหลผ่านเข้าออกเลย ค่อย ๆ เสียประสิทธิภาพการเก็บไฟครับ และจะตายในที่สุด
การชาร์จแบตเตอรี่ที่ควรจะเป็น
ในมุมมองของผมนะครับ คือชาร์จจนเต็มแล้ว ก็เอาปลั๊กออก ใช้ไฟจากแบตฯ ไปเรื่อย ๆ จนเขาเตือนขึ้นมาว่าไฟใกล้หมดแล้ว (หรือบางทีผมก็ไม่รอให้เขาเตือน) ค่อยเสียบชาร์จใหม่เป็นแบบนี้สลับกันไปเรื่อย ๆ ครับ เพื่อให้เซลแบตฯ ที่มีอยู่ทั้งหมด หรือเกือบทั้งหมดได้มีไฟไหลผ่านเข้าออกบ้าง เพื่อยืดอายุเซลแบตฯ ให้อยู่กับเรานานที่สุดครับ
การคาลิเบรต แบตเตอรี่ ช่วยยืดอายุ/สุขภาพแบตฯ ด้วยไหม?
ไม่ครับ การคาลิเบรตแบตเตอรี่ ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใดใดกับคุณภาพแบตฯ ที่เรามีอยู่ในเครื่องเลย ที่เขาทำเป็นเพียงแค่ reset การอ่านค่าปริมาณแบตฯ ให้กลับมาแสดงผลได้ถูกต้องแค่นั้นครับ ถ้าเครื่องอ่านค่าผิด เมื่อ reset ตรงนี้แล้ว เราจะได้ค่าที่ถูกต้องกลับมา ซึ่งเป็นไปได้ทั้ง- ค่าใหม่ที่ได้จะมากขึ้น เป็นผลให้คนเข้าใจว่าการ calibrate ทำให้แบตฯ ดีขึ้น หรือ
- ค่าใหม่ที่ได้ลดลอง ทำให้คนที่ได้ตรงนี้เข้าใจว่าการ calibrate ทำให้แบตฯ ตายเร็วขึ้น
หมดแล้วครับ หวังว่าน่าจะเป็นประโยชน์นะครับ
thanks By ikok
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น